แชร์ประสบการณ์การใช้ Chromebook เป็นคอมทำงานหลัก

“อยากจะหาคอมมาใช้ทำงานสักเครื่อง เลือกยี่ห้อไหนดี Acer Asus Dell Lenovo หรือ Macbook ดี” เป็นคำถามที่มีคนถามผมบ่อยมาก เพราะสมัยก่อนผมศึกษาเรื่องคอมเยอะ ก็เลยจะแนะนำเพื่อนได้ว่ารุ่นไหนดี รุ่นไหนคุ้ม
แต่ถ้าถามผมตอนนี้ ผมก็จะตอบว่า “ไม่รู้ ผมใช้ Chromebook”
Chromebook คืออะไร
Chromebook ก็คือ Notebook ที่ใช้ระบบปฎิบัตการ Chrome OS มันก็เหมือน Windows ที่พัฒนาโดย Microsoft หรือ Mac OS ที่พัฒนาโดย Apple นั่นแหละ Chrome OS นี้พัฒนาโดย Google ครับ
ถ้าให้เทียบว่า Chrome OS ต่างกับ Windows ยังไง ให้มองว่า Chrome OS ก็คือ Windows ที่ตัดทุกอย่างทิ้งเหลือแค่ Chrome Browser … จริงๆนะ ง่ายๆเลยคือ Chromebook น่ะ ทั้งเครื่องมันมีแค่ Chrome อย่างเดียวจริงๆ
บางคนอาจจะเริ่มสงสัยละว่า “เอ้า ถ้ามีแค่ Chrome แล้วมันจะใช้งานได้หรอ” คำตอบคือ ได้ครับ เพราะเอาจริงๆทุกวันนี้คือเปิดคอมขึ้นมาคุณทำอะไรเป็นอย่างแรก เปิด Chrome ใช่ไหมละ?
ไอเดียของ Chromebook คือ ในทุกวันนี้นักพัฒนาสมัยใหม่หันมาพัฒนา Web App ซึ่งเป็นโปรแกรมที่รันบนเว็บเป็นจำนวนมาก จากสมัยก่อนที่เราเคยต้องลงโปรแกรมนู่นนี่ ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว แค่เปิดทุกอย่างใน Chrome โปรแกรมเดียว
ในเมื่อคนส่วนใหญ่ใช้แค่นี้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีส่วนประกอบอื่นๆให้มันวุ่นวาย ทำให้ Chromebook เป็นคอมที่ใช้งานง่ายมาก แถมด้วยความที่มันไม่มีอะไรเลย มันจึงกินสเปคหรือทรัพยากรน้อยมาก
เมื่อเทียบสเปคระดับเดียวกันระหว่าง Chrome OS กับ Windows แล้ว Chrome OS จะทำงานได้เร็วกว่าเสียอีก ในทางกลับกัน ถ้าเปรียบเทียบเรื่องความเร็วในการใช้งานระดับเดียวกัน Chrome OS ที่มีสเปคต่ำกว่า จะสามารถเร็วเทียบเท่ากับ Windows ที่สเปคคอมสูงกว่าได้ ทำให้เราไม่จำเป็นต้องซื้อคอมสเปคสูงๆให้เปลืองเงินอีกต่อไป
ผมเริ่มใช้ Chromebook ตอนปี 2017 ปัจจุบันผมใช้ Chromebook เป็นคอมทำงานหลักที่ออฟฟิศ และตอนนี้ทีมงานเกินครึ่งก็ใช้ Chromebook ในการทำงานประจำวัน วันนี้ผมจะมาแชร์ประสบการณ์การใช้งานของผมครับ
สิ่งที่ผมชอบ
ราคาถูก
ด้วยความที่ระบบมันไม่ได้กินสเปคอะไรเลย (ก็มันมีแค่ Chrome อะนะ) จึงไม่จำเป็นต้องเลือกซื้อสเปคสูงๆ ทำให้ราคาไม่แพง ถ้าเอามาใช้งานทั่วไปอย่างดูหนัง ฟังเพลงเล่นเฟส คุยไลน์ Chromebook ระดับเกือบหมื่นหรือหมื่นต้นๆก็เล่นได้สบายๆแล้ว ส่วนของผมที่ออฟฟิศผมจะเลือกใช้รุ่นประมาณหมื่นปลายๆถึงสองหมื่นต้นๆ
ทุกอย่างเก็บบน Cloud
บางคนอาจจะมองเป็นข้อเสีย แต่ผมชอบข้อนี้ตรงที่ Chromebook แทบไม่มี Internal Storage ที่ไว้ใช้เก็บไฟล์ในเครื่องเลย ไม่มี Hard Disk ทั้งเครื่องจะมีแค่โฟลเดอร์ Download ที่จัดเก็บไว้ในเครื่องเท่านั้น ที่เหลือจะอัพขึ้น Google Drive ทั้งหมด มันจึงบังคับให้เราต้องเปลี่ยนนิสัยการทำงานให้เป็นแบบ Cloud
มันสะดวกตรงที่ผมไม่จำเป็นต้องพกเครื่องนี้ไปไหนมาไหน เพราะผมสามารถเปิดไฟล์ทำงานด้วยคอมเครื่องไหนก็ได้ ที่ไหนบนโลกก็ได้ เช่นทุกวันนี้ผมทำงานที่ออฟฟิศ พอกลับบ้านอยากทำงานต่อผมก็ไม่ต้องยก Chromebook กลับมาทำ ผมก็แค่เปิดคอมที่บ้านแล้วก็ทำต่อได้เลย
ใช้งานง่าย(มาก)
คือมันไม่มีอะไรเลยจริงๆ เปิดเครื่องมาเข้า Chrome จบ
เรื่องการจัดการไฟล์ในเครื่อง เมื่อเทียบกับ Windows นี่มีทั้ง My Computer, Drive C, Drive D, Document Music, Picture, Video, Program files และอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใช ้สุดท้ายทุกอย่างมากองกันที่หน้า Desktop อยู่ดี Chromebook จะมีแค่่โฟลเดอร์ Download กับ Google Drive แค่นั้นเลย
จุดที่ผมชอบอีกอย่างคือปุ่ม Everything Button มันคือปุ่มที่อยู่ตำแหน่งเดียวกับ Caps Lock บน Windows มันคือปุ่มมหัศจรรย์ที่อยากได้อะไรก็กดปุ่มนี้แล้วพิมพ์บอกมันไป มันก็จะหามาให้เรา ถ้ารุ่นใหม่ๆจะมี Google Assistant ติดมาด้วย สะดวกเข้าไปอีก
Web App
เราสามารถสร้างแอปขึ้นมาจากเว็บไซต์ไหนก็ได้ ไม่ต้องลงแอปเลย เช่นไม่อยากได้ Netflix เป็น Tab ใน Chrome แต่อยากให้มันออกมาเป็นหน้าต่างแยก ก็สามารถสร้าง Shortcut เป็นไอคอนแยกออกมาแล้วเปิดหน้าต่างแยกจาก Chrome ออกมาได้ จริงๆมันก็ไม่ใช่แอปหรอก มันก็ยังเป็นเว็บนั่นแหละ แต่หน้าตามันจะเหมือนแอปเลย แต่ถ้ายังไม่พอใจก็ไปโหลดเป็นแอป Android มาใช้ก็ยังได้
ดูแลง่าย
ด้วยความที่ผมนำคอมมาใช้ในสำนักงาน สมัยก่อนตอนที่ยังใช้ Windows พอมีพนักงานออก ก็ต้องมานั่งล้างเครื่อง ลง Windows ลงโปรแกรมใหม่ บริษัทเล็กๆที่ไม่มีพนักงานไอที ผมก็ต้องมานั่งทำพวกนี้เอง เสียเวลาเอามากๆ แต่พอเป็น Chromebook พอมีปัญหาอะไรก็แค่กด Factory Reset ง่ายเหมือนล้างเครื่องมือถือเลย พอเปิดมาก็ไม่ต้องลงอะไรเพิ่ม ใช้งานได้ทันที
สิ่งที่ผมไม่ชอบ
ลง Desktop App ไม่ได้
สิ่งที่ทำให้หงุดหงิดในช่วงแรกๆคือเรื่องข้อจำกัดด้าน Application เนื่องจากมันไม่สามารถลงโปรแกรมอะไรได้เลย ช่วงแรกๆที่ยังติด MS Office กับ Photoshop อยู่ก็จะยากหน่อย เพราะต้องเริ่มหัดใช้โปรแกรมอื่นๆที่มาทดแทน
หาซื้อยาก(มาก)
ในไทยจะมีขายแค่รุ่นกากๆ รุ่นดีๆไม่มีใครเอาเข้ามาขาย และหลายรุ่นก็ผลิตมาไม่มาก ต้องไปแย่งชิงกับคนในเมกามา
ไม่มีประกัน
ด้วยความที่ต้องสั่งมาจากต่างประเทศ แน่นอนต่อให้ที่ต้นทางมีประกัน ด้วยราคาเครื่องที่มันถูกอยู่แล้ว ค่าส่งไปเคลมซ่อมก็ไม่คุ้มกับราคาเครื่องแล้ว ซื้อใหม่เลยดีกว่า
มีอาการค้างเป็นครั้งคราว
ด้วยความที่ Chromebook ออกแบบมาให้ราคาเข้าถึงได้ สเปคมันจะไม่ได้แรงมาก ทำให้อาจจะมีค้างบ้างในตอนแรกๆที่ชอบดอง Tab ไว้เยอะๆ โดยเฉพาะผมที่ทำงานด้านโฆษณาแล้วต้องใช้พวก Ad Manager มันก็จะโหลดช้าพอสมควร อันนี้คือความรู้สึกเทียบกับที่ผมเคยใช้ Desktop มานะ แต่ถ้าใครที่ปกติใช้ Notebook ในสเปคใกล้เคียงกันอยู่แล้วก็ไม่น่าจะต่างกันมาก
Chromebook ไม่เหมาะกับใคร
คนที่ทำงานสาย Creative
Chromebook ไม่สามารถลงพวก Desktop App อย่างตระกูล Adobe หรือ Autodesk ได้ ถ้าใครทำงานสายออกแบบ แล้วต้องใช้ Photoshop, AI ละก็ เป็นอันหมดหวัง
แต่ไม่ได้แปลว่า Chromebook ทำงานออกแบบไม่ได้เลยซะทีเดียว ผมเองก็ทำงานออกแบบภาพบ้างโดยใช้ Figma หรือ Canva ซึ่งเป็น Web App ที่ทำงานผ่าน Chrome ได้เหมือนกัน เพียงแต่มันจะไม่มีฟังค์ชั่นโหดๆแบบ Adobe
ถ้าเป็นงานตัดต่อวิดีโอก็เช่นกัน ลงพวก AfterEffect, Premiere Pro ไม่ได้ หรือต่อให้ลงได้ แรมก็ไม่พออยู่ดี แต่ถ้าจะตัดต่อคลิปแบบง่ายๆออนไลน์ ก็มีเครื่องมือหลายตัวที่ใช้แทนกันได้ ตอนนี้ผมใช้ Clipchamp กับ Tella.tv
สุดท้ายคืองานออกแบบสามมิติ 3D อันนี้หมดหวังจริงๆ ใช้ PC หรือ iMac เถอะ
แต่เดี๋ยวก่อน! มีอีกทางเลือกหนึ่งคือการเช่า Cloud Desktop เช่น Vagon.ioไอเดียคือเราใช้คอมกากๆของเรานี่แหละ แต่ไปเชื่อมต่อกับคอมโหดๆที่เราเช่าเอาไว้ผ่านเน็ตเพื่อใช้พวกโปรแกรมที่กินแรมทั้งหลาย โดยพวกนี้เขาจะคิดค่าบริการเป็นรายชั่วโมง ถ้าคุณไม่ได้ใช้บ่อยมากแบบเดือนละครั้ง ก็ถือว่าคุ้มมากๆเลย
คนที่จะใช้เล่นเกมด้วย
จริงๆแล้วเราสามารถเล่นเกมมือถือบน Chromebook เพราะมันสามารถลงแอป Android ได้ แต่ด้วยความที่ Chromebook ส่วนใหญ่สเปคไม่ได้แรงมาก ก็อาจจะเล่นเกม Graphic หนักๆไม่ไหว
และแน่นอนว่า Chromebook ไม่สามารถลงพวก Game Store อย่าง Steam, Origin, หรือ Epic ได้ (ถึงมันจะลงผ่าน Linux หรือ Parallel ได้ แต่สเปคมันก็ไม่ไหวอยู่ดี) จึงไม่เหมาะที่จะซื้อมาเพื่อเล่นเกมอย่างยิ่ง
ถ้าเป็นต่างประเทศปัญหานี้จะหมดไป เพราะเขามีบริการ Cloud Gaming อย่าง Stadia, Nvidia GameStream, หรือ PS Now ที่ไม่จำเป็นต้องมีคอมแรงๆก็สามารถเล่นเกมระดับ Crysis ได้สบายๆ น่าเสียดายที่ยังไม่มีเจ้าไหนมาถึงไทย เพราะฉะนั้นถ้าจะเล่นเกมด้วยแล้ว ตอนนี้แนะนำเป็น Desktop PC อย่างเดียวเลยจ้า
สรุป
หวังว่าบทความนี้พอจะเป็นไอเดียให้กับใครที่กำลังสนใจอยากจะลองใช้ Chromebook ปัจจุบันผมใช้ Chromebook เป็นคอมทำงานหลักมา 4 ปีแล้ว และยังคิดจะใช้มันต่อไป ทั้งนี้คือในกรณีของผมที่มีคอมเล่นเกมแยกอยู่แล้วที่บ้าน คอมที่ทำงานเลยไม่จำเป็นต้องสเปคแรง Chromebook ก็เลยตอบโจทย์ในกรณีของผมครับ